
ภาษีประกันสุขภาพสุขภาพทำงานหนัก ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง
ยุคนี้เป็นยุคแห่งความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะกดสั่งอะไรก็ต้องผ่านช่องทางออนไลน์กันแทบทั้งนั้น อาชีพขายของออนไลน์จึงเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน แต่ก่อนที่จะผันตัวเองมาทำอาชีพนี้ ต้องทำความเข้าใจกับการเสียภาษีกันก่อน เพราะหลายคนอาจยังไม่เข้าใจเรื่องการยื่นภาษีและจ่ายภาษีสำหรับการขายของออนไลน์ เช่น ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีไหม เสียเท่าไหร่ การยื่นภาษีขายของออนไลน์ รายได้เท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี เอกสารยื่นภาษีขายของออนไลน์มีอะไร้บ้าง หรือ พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ คิดภาษียังไง พร้อมแล้วตามไปดูกัน!
ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีแบบไหน
1. ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีแบบไหน
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่มาทางนี้ ไม่ว่าเราจะขายอะไรก็ตามแต่ถ้ามีรายได้ยังไงก็ต้องยื่นภาษีนะ เพราะยังถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ต้องเสียภาษีเงินได้ โดยจะเสียภาษีหรือไม่เสียภาษีนี้จะต้องขึ้นอยู่กับว่าเรามี “เงินได้สุทธิ” หรือ “กำไรสุทธิ” เมื่อหักค่าใช้จ่าย
ซึ่งหากมีรายได้จากการขายของออนไลน์ จะต้องยื่นภาษีเงินได้ประเภทที่ 8 หรือ ม.40 (8) เมื่อมีรายได้เกิน 60,000 บาท (กรณีโสด) หรือมีรายได้เกิน 120,000 บาท (กรณีสมรส) ต่อปี ในการยื่นภาษีของการขายของออนไลน์ สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ แบบหักตามจริง และแบบเหมา 60%
หักค่าใช้จ่ายตามจริง
เหมาะกับการขายออนไลน์ที่มีต้นทุนสูงในการขายสินค้า เพราะวิธีนี้จะทำให้คนที่มีต้นทุนสูงสามารถหักค่าใช้จ่ายได้สูงด้วย ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายไปแล้ว เงินได้สุทธิที่ต้องนำมาคำนวณภาษีก็จะลดลงตามไป โดยวิธีนี้ต้องจัดเก็บรวบรวมบัญชีรายรับรายจ่ายพร้อมหลักฐานไว้ให้ครบ เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ และช่วยลดความสับสนเมื่อต้องยื่นภาษี
หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60%
เหมาะกับการขายออนไลน์ที่มีกำไรเยอะ เช่น กำไรที่แท้จริงหักค่าใช้จ่ายแล้วมีมากกว่า 40% หมายความว่าต้นทุนของธุรกิจจะน้อยกว่า 60% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งข้อดีคือเราไม่ต้องแสดงหลักฐานค่าใช้จ่ายกับกรมสรรพากร และทำให้เราได้ประโยชน์ทางภาษีในส่วนต่างของต้นทุนที่แท้จริงกับค่าใช้จ่ายแบบเหมา

ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่?
2. ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่?
พ่อค้าแม่ค้าที่มีรายได้จากการขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะทำงานประจำไปด้วยหรือว่าขายของออนไลน์อย่างเดียวต่างก็ต้องยื่นภาษี โดยการยื่นภาษีสำหรับการขายของออนไลน์นั้นจะต้องยื่น 2 รอบ (ภ.ง.ด. 94 และ ภ.ง.ด. 90) ตามช่วงเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด ดังนี้
รอบแรกยื่นภาษีครึ่งปี ยื่นภาษีโดยนำเงินได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. มาแสดงในการยื่นภาษี ตามแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 94 ภายในวันที่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย. ในปีเดียวกัน โดยสาเหตุที่ให้มีการเสียภาษีครึ่งปีเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้มีรายได้ เพื่อไม่ให้เสียภาษีหนักในครั้งเดียว
รอบสองยื่นภาษีปลายปี ยื่นภาษีโดยนำเงินได้ทั้งปี มากรอกในแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ภายในวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. ของปีถัดไป (เช่น เงินได้ปี 2564 ต้องยื่นภายใน มี.ค.2565)
นอกจากนี้ใครที่ขายของออนไลน์แล้วมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียน VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม และยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุก ๆ เดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป และต้องออกใบกำกับภาษีให้กับผู้มาใช้บริการด้วย

เงินเข้าบัญชีบ่อย ๆ ต้องเสียภาษี e-Payment ไหม
3. เงินเข้าบัญชีบ่อย ๆ ต้องเสียภาษี e-Payment ไหม
การใช้ e-Payment เป็นเรื่องที่สะดวก แต่ผู้ขายของออนไลน์ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้อง และเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้การทำธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น และหลีกเลี่ยงปัญหาภาษีในอนาคต ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่คงสงสัยกันว่า การรับเงินผ่าน e-Payment ต้องเสียภาษีหรือไม่ คำตอบคือ ต้องเสียภาษี หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
1. การส่งข้อมูลให้สรรพากร
ธนาคารจะส่งข้อมูลให้กับสรรพากร หากเข้าข่าย “ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ขายของออนไลน์เท่านั้น แต่ใช้กับทุกคนที่มีการฝากหรือรับโอนเงิน
2. หน้าที่ของผู้ขายของออนไลน์
ผู้ขายของออนไลน์ควรเตรียมความพร้อมด้วยการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างถูกต้อง เก็บเอกสารหลักฐาน และยื่นภาษีให้ครบถ้วน
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับเงินได้จาก e-Payment
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากคุณมีรายได้จากการขายของออนไลน์ หรือรับเงินผ่าน e-Payment อื่น ๆ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 (40(8)) ซึ่งต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากคุณมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการผ่าน e-Payment เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี คุณต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า
เกณฑ์การยื่นภาษี
เงินได้สุทธิ หากคุณมีเงินได้สุทธิ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย) เกิน 150,000 บาทต่อปี คุณมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
รายได้จากการขายของออนไลน์ หากคุณมีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 60,000 บาทต่อปี คุณมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การยื่นภาษี
ภ.ง.ด. 90 เป็นการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี คุณต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
ภ.ง.ด. 94 เป็นการยื่นภาษีเงินได้ครึ่งปี คุณต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 94 ภายในวันที่ 30 กันยายนของปีเดียวกัน
เมื่อมีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชี 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะกี่บาทก็ตาม
ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกัน 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินรวมกันเกิน 2 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป
ซึ่งเงื่อนไขที่กล่าวมานี้ หากธนาคารพบว่าบัญชีไหนเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็มีสิทธิ์ถูกตรวจสอบและทำการส่งข้อมูลให้ทางสรรพากร ดังนั้นไม่ควรหลบเลี่ยงดีที่สุด
เกณฑ์การยื่นภาษี
เงินได้สุทธิ หากคุณมีเงินได้สุทธิ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย) เกิน 150,000 บาทต่อปี คุณมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
รายได้จากการขายของออนไลน์ หากคุณมีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 60,000 บาทต่อปี คุณมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การยื่นภาษี
ภ.ง.ด. 90 เป็นการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี คุณต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
ภ.ง.ด. 94 เป็นการยื่นภาษีเงินได้ครึ่งปี คุณต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 94 ภายในวันที่ 30 กันยายนของปีเดียวกัน
เมื่อมีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชี 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะกี่บาทก็ตาม
ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกัน 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินรวมกันเกิน 2 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป
ซึ่งเงื่อนไขที่กล่าวมานี้ หากธนาคารพบว่าบัญชีไหนเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็มีสิทธิ์ถูกตรวจสอบและทำการส่งข้อมูลให้ทางสรรพากร ดังนั้นไม่ควรหลบเลี่ยงดีที่สุด
4. เตรียมตัวยื่นภาษี สำหรับการขายของออนไลน์
ถึงตรงนี้ใครที่กำลังผันตัวเองเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ ต้องมีการวางแผนก่อนยื่นภาษีกันหน่อย เพราะหากขาดเอกสารหรือทำอะไรผิดขั้นตอนไปเพียงนิดเดียว อาจมีปัญหาในการยื่นภาษีได้
1. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้อง
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/94): ผู้ขายของออนไลน์ที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 (40(8)) ซึ่งต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมีเกณฑ์การยื่นภาษีดังนี้
ภ.ง.ด. 90: ยื่นภาษีเงินได้ประจำปี ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
ภ.ง.ด. 94: ยื่นภาษีเงินได้ครึ่งปี ภายในวันที่ 30 กันยายนของปีเดียวกัน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากผู้ขายมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 01) ภายใน 30 วันหลังจากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท และต้องยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
2. จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
การจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ จะช่วยให้การคำนวณภาษีเป็นเรื่องง่าย และยังเป็นหลักฐานสำคัญเมื่อถูกตรวจสอบภาษี
ควรเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขายสินค้า เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ให้เป็นระเบียบ
3. คำนวณรายได้และค่าใช้จ่าย
รายได้จากการขายของออนไลน์ ได้แก่ เงินที่ได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ
ค่าใช้จ่าย ได้แก่ ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง ค่าแพ็กเกจจิ้ง ค่าโฆษณา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
เงินได้สุทธิ คือ รายได้ – ค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้
4. ยื่นภาษีให้ถูกต้อง
ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนยื่นภาษี เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง
สามารถยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือยื่นด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากร
แม้การเสียภาษีสำหรับการขายของออนไลน์อาจมีหลายขั้นตอน แต่เชื่อว่าไม่ได้ยากเกินไปสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่อย่างแน่นอน คิดถึงข้อดีของการเสียภาษีกันไว้ เพราะนอกจากเราจะเสียภาษีแบบถูกต้องแล้ว ยังช่วยให้ไม่ต้องกังวลการถูกตรวจสอบจากสรรพากร และยังขายของออนไลน์ได้อย่างเปิดเผยอีกด้วย
เตรียมวางแผนการยื่นภาษีกันไปแล้ว อย่าลืมวางแผนลดหย่อนภาษีกันด้วยนะ คุ้มสองต่อได้ทั้งความคุ้มครองสุขภาพและลดหย่อนภาษี ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่าย จากเมืองไทยประกันชีวิต ที่ดูแลค่ารักษา ตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 100,000,000 บาท และยังสามารถนำค่าเบี้ยไปลดหย่อนภาษี ได้สูงสุด 25,000 บาท อีกด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม
☑️ โทร : 0973236451
☑️ Line ID : @muangthaiagent